| |
ข้อสอบคณิตศาสตร์ที่ใช้คัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อ ไม่ได้ออกเกินเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน แต่เป็นความจริงที่ว่าข้อสอบคณิตศาสตร์สำหรับสอบคัดเลือกยากกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ที่โรงเรียน
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการสอบต่างกัน ข้อสอบคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนเป็นการทดสอบความเข้าใจในบทเรียนที่ครูสอน
ข้อสอบออกโดยครูผู้สอนซึ่งรู้ระดับความสามารถของนักเรียนที่ตัวเองสอน จึงออกข้อสอบคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องกับความสามารถของนักเรียนในชั้น
ครูผู้สอนไม่ออกข้อสอบยากจนนักเรียนสอบตกทั้งชั้น เพราะนั่นไม่เป็นผลดีต่อทั้งนักเรียน ครูผู้สอนและโรงเรียน
ข้อสอบคณิตศาสตร์สำหรับสอบคัดเลือกมีวัตถุประสงค์ต่างจากข้อสอบคณิตศาสตร์ที่โรงเรียน ข้อสอบต้องการคัดเฉพาะเด็กเก่ง
ดังนั้นข้อสอบจึงยากขึ้นอีกระดับหนึ่งเพื่อวัดความแตกต่างระหว่างเด็กเก่งและไม่เก่ง ข้อสอบถูกเขียนขึ้นใหม่เพื่อทดสอบทักษะทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน
ไม่ได้เขียนเลียบแบบตัวอย่างในห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนสอบได้ ผู้เขียนโจทย์ข้อสอบคณิตศาสตร์สามารถกำหนดระดับความยากง่ายของโจทย์ได้
โดยที่ยังอยู่ในเนื้อหาเดิม เช่น โรงเรียนสอนคณิตศาสตร์ 3 เรื่อง
1) ร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์(%)
2) อัตราส่วน
3) สมการ
การวัดผลของโรงเรียนทำโดยออกข้อสอบคณิตศาสตร์ 3 ข้อสำหรับทดสอบความเข้าใจ 3 เรื่อง ถ้านักเรียนเข้าใจเพียง 2 เรื่อง จะทำข้อสอบคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนได้ 2 ข้อ ข้อที่ 3 ทำไม่ได้
เพราะไม่เข้าใจเรื่องที่ 3
แต่ข้อสอบคณิตศาสตร์สำหรับสอบคัดเลือก นำเรื่องทั้ง 3 เรื่องนี้มาไว้ในข้อสอบข้อเดียวกัน นักเรียนจะทำโจทย์ข้อสอบคณิตศาสตร์ข้อนั้นได้ต้องเข้าใจทั้ง 3 เรื่อง ถ้าเข้าใจเพียง 2 เรื่อง
จะทำโจทย์ข้อนั้นไม่ได้ นักเรียนที่ไม่เข้าใจเนื้อหาคณิตศาสตร์ 3 เรื่องนี้ดีพอ แม้จะทำข้อสอบคณิตศาสตร์ของโรงเรียนได้ทั้ง 3 ข้อ แต่ไม่เคยเห็นโจทย์ข้อสอบคณิตศาสตร์ที่นำ 3 เรื่องมาไว้ในข้อเดียวกัน
เมื่อเจอข้อสอบคณิตศาสตร์แบบนั้นครั้งแรกในห้องสอบก็ทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่า 3 เรื่องนี้สัมพันธ์กันอย่างไร
ถามว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ข้อนั้นออกเกินเนื้อหาที่สอนในโรงเรียนหรือไม่ ?
...ไม่เกิน... เพราะทั้ง 3 เรื่องสอนในโรงเรียนแล้ว
แม้โรงเรียนจะสอนเรื่องสมการแล้ว แต่โจทย์สมการในข้อสอบคณิตศาสตร์สำหรับสอบคัดเลือกฯยากและซับซ้อนกว่าข้อสอบของโรงเรียน อย่างนี้ถือว่าข้อสอบออกเกินเนื้อหาหรือไม่ ?
...ไม่เกิน...เพราะเนื้อหาเท่าเดิม การทำข้อสอบที่ยากและซับซ้อน ไม่ได้ใช้เนื้อหามากขึ้น สิ่งที่ต้องใช้มากขึ้นคือทักษะและความเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้
นักเรียนจำนวนมากเข้าใจคณิตศาสตร์เพียงผิวเผิน หรือไม่เข้าใจเนื้อหา แต่จำวิธีทำจากโจทย์ตัวอย่างในหนังสือ ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องทำอย่างนั้้น นักเรียนกลุ่มนี้จะทำโจทย์คณิตศาสตร์ได้ ถ้าโจทย์ข้อนั้น
คล้ายกับตัวอย่างในหนังสือ แต่ถ้าโจทย์แตกต่างจากตัวอย่างในหนังสือไปมากเขาจะทำไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเนื้อหาดีพอ
จึงไม่สามารถคิดพลิกแพลงเพื่อนำเนื้อหาที่เรียนไปแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
โจทย์ปัญหาที่ซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีคิดลัดหรือสูตรลัดซึ่งไม่ได้สอนในโรงเรียน ข้อสอบแบบนี้ถือว่าออกเกินเนื้อหาใช่หรือไม่ ?
สูตรลัด หรือ วิธีลัด เป็นเพียงเครื่องทุ่นแรงที่ช่วยให้ทำงานเสร็จเร็วขึ้น ถ้ามีได้ก็ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่มีแล้วจะหาคำตอบไม่ได้
ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน
"เลื่อยไฟฟ้า" เป็นเครื่องทุ่นแรง ช่วยให้ช่างไม้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่มีเลื่อยไฟฟ้าแล้วช่างไม้จะสร้างบ้านไม่ได้ เพราะช่างไม้สามารถใช้เลื่อยมือตัดไม้ได้
ถ้าช่างไม้ไม่มีความเข้าใจเรื่องโครงสร้างบ้าน ต่อให้มีเลื่อยไฟฟ้าก็สร้างบ้านไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าจะต้องตัดไม้กี่ชิ้น แต่ละชิ้นยาวเท่าใด ตัดแล้วนำไปต่อไว้ที่ไหน ต่ออย่างไร ฯลฯ
ในทางกลับกันถ้าช่างไม้มีความรู้เรื่องโครงสร้างบ้าน แม้ไม่มีเลื่อยไฟฟ้า เขายังสามารถสร้างบ้านได้โดยตัดไม้ด้วยเลื่อยมือ ถ้ามีเลื่อยไฟฟ้าเขาจะสร้างบ้านเสร็จเร็วขึ้น
สิ่งที่เป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างบ้านคือความรู้เรื่องโครงสร้างบ้าน ไม่ใช่เลื่อยไฟฟ้า
|
| จำนวนผู้ชม 4,181 | จำนวนผู้ลงคะแนน 8 | คะแนนเฉลี่ย 3 |
๏ปฟ
เธชเธเธงเธเธฅเธดเธเธชเธดเธเธเธดเนเธเธฒเธกเธเธเธซเธกเธฒเธข Copyright (C) 2018-2024 All rights reserved.
|